วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

เกาะลันตา(กระบี่)

เที่ยวเพลิน ๆ รับลมทะเลเย็น ๆ ณ เกาะลันตา

เกาะลันตา

เกาะลันตา


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ททท. และ park.dnp.go.th

          เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเกาะที่นักเดินทางผู้หลงใหลความงามของท้องทะเลอยากไปสัมผัสกับความงาม ที่แฝงไว้ด้วยสงบและเรียบง่าย ใช่แล้ว! เรากำลังเอ่ยถึง "เกาะลันตา" เกาะที่หลบซ่อนสายตาผู้คนอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีคราม และวันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ขอพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ เกาะลันตา ให้มากขึ้น ไปดูสิว่ามีอะไรให้ไปเที่ยวบ้าง 

          เกาะลันตา เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดกระบี่ โดยเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยต่อเนื่องมายาวนานกว่าร้อยปี ประกอบด้วย เกาะลันตาใหญ่ และ เกาะลันตาน้อย แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่บน เกาะลันตาใหญ่ ขณะที่ เกาะลันตาน้อย เป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเกาะลันตา ด้วยระยะทางที่ห่างไกลจากแผ่นดิน เกาะลันตาจึงยังคงความสวยงามของหาดทรายและน้ำทะเลสะอาด อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตของชาวเกาะดั้งเดิม ที่มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยจีน ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยใหม่ (ชาวเล) อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผสานกับความเจริญทางด้านหัวเกาะแถบท่าเรือและชายหาดฝั่งตะวันตก ซึ่งคึกคักด้วยนักท่องเที่ยว การมาเยือนเกาะลันตาจึงได้เที่ยวหลายบรรยากาศในคราวเดียวกัน



เกาะลันตา

ประวัติ

          "ลันตา" เป็นชื่อเกาะขนาดใหญ่ มีรูปร่างเรียวยาว พื้นที่ 472 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ชื่อ "ลันตา" สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า "ลันตาส" ซึ่งเป็นภาษาชวา แปลว่า ที่ย่างปลา เพราะในอดีตเกาะใหญ่แห่งนี้เป็นที่ที่ชาวเรือชวามักมาหยุดพักและย่างปลาเป็นอาหาร แล้วต่อมาเกาะนี้ก็เปลี่ยนฐานะมาเป็นเมืองท่าที่ชาวจีนและชาวอาหรับผู้แล่นเรือค้าขายในน่านน้ำภูเก็ต ปีนัง สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แวะขึ้นมาพักและทำการค้าขาย จนในที่สุดก็กลายเป็นชุมชนคึกคัก 

          สำหรับ เกาะลันตา ประกอบด้วย เกาะลันตาใหญ่ และ เกาะลันตาน้อย โดยมีเกาะกลางคั่นอยู่ระหว่าง 2 เกาะนี้ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดอยู่บน เกาะลันตาใหญ่ มียาวประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 6 กิโลเมตร โดดเด่นด้วยชายหาดยาวเรียงรายต่อเนื่องกันถึง 13 หาดทางฝั่งตะวันตก มีทั้งหาดหินและหาดทราย เพียบพร้อมด้วยที่พักหลากสไตล์ หลายราคา ส่วนทางฝั่งตะวันออกคือ ชุมชนโบราณ ชื่อบ้านศรีรายา ซึ่งตั้งมากว่าร้อยปี มีเสน่ห์ด้วยเรือนแถวไม้หน้าแคบที่ยื่นยาวลึกออกไปในทะเล และวิถีชีวิตสงบงามของชาวไทย-จีน ชาวไทย-มุสลิม ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

          ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะบน เกาะลันตาใหญ่ ยังมีจุดเด่นอยู่ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาตั้งอยู่ที่แหลมโตนด ตรงปลายเกาะ เป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์ด้วยผืนป่าดงดิบ มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และที่โดดเด่นที่สุดคือ ประภาคารสีขาว ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเกาะลันตา 

          และอีกจุดเด่นหนึ่งคือ หมู่บ้านชาวเล หรือชาวไทยใหม่ ชื่อบ้านสังกาอู้ อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ เป็นชุมชนของชาวเลเผ่าลูโมะลาโว้ย ที่คนไทยภาคกลางเรียกว่า อูรักลาโว้ย พวกเขาตั้งถิ่นฐานบนเกาะลันตามานานหลายชั่วอายุคน อีกทั้งเกาะลันตายังเปรียบได้ดั่งเมืองหลวงของชาวเล ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นบริษัททัวร์ ร้านดำน้ำ ธนาคาร ร้านอาหาร ร้านบริการอินเทอร์เน็ต ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ มีเพียบพร้อมอยู่ที่บ้านศาลาด่าน

เกาะลันตา

ดอกไม้ประจำชาติฝรั่งเศส

ดอกไม้ประจำชาติฝรั่งเศส

ดอกไอริส Les Iris

       ดอกไอริส (Iris) เป็นดอกไม้แห่งข่าวสาร เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ ความรักบริสุทธิ์ กตัญญู จึงมักจัดเป็นพุ่มเพื่อต้อนรับแขก ที่มาหา ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไอริสเพื่อแสดงว่าผู้ให้นั้น มีข่าวสารบางอย่างจากหัวใจที่อยากจะบอกให้ผู้รับได้ล่วงรู้  เช่นประโยคที่จะบอก ในภาษาดอกไม้คือ ประโยคนี้ " ฉันมีอะไรจะบอกเธอ " โรแมนติกใช่มั้ยล่ะแต่อีกนัยยะของภาษาดอกไม้ ก็คือ1. ใช้ในการแอบบอกรักที่หลบซ่อน 2. ดอกไอริสนี้ ยังสามารถมอบให้ แก่คนรักเก่า เพื่อสื่อความว่าต้องการให้ ความรักนั้นปะทุเชื้อไฟขึ้นอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ดอกไอริส ยังเป็น เครื่องหมายของความรัก บริสุทธิ์ เนื่องจากเป็น ดอกไม้ประจำตัวของ เทพบุตร กาเบรียล 1 ใน 7 อาร์ค แองเจิ้ล เทวาชั้นสูง ผู้ที่มาแจ้งข่าวครั้งที่ 2 ทำให้พระเยซู คืนพระชนม์ชีพ นั่นเอง ถ้าอยากจะเข้าใจภาษาของดอกไม้มากกว่านี้ ลองทำตัวเป็นคนในสมัยวิคตอเรียดูสิ คลาสสิคมากๆ ไม่ใช่เรือ่งไร้สาระแน่นอน บางคนที่ว่าว่ามันไร้สาระ เพราะไม่รู้ว่า ความจริงแล้วการที่เรารู้อะไรที่ลึกซึ้ง ก็จะรู้ว่าเจตจำนงที่แท้จริง กลอุบายที่คนโบราณใช้ มันช่างแยบยล ดอกไอริสมีถิ่นกำเนิดในแถบแอฟริกาใต้ และ แถบตะวันออก ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เรื่องเล่าของดอกไอริสชื่อของดอกไอริส (หรือ “อิริส” (Iris) ในภาษาฝรั่งเศส) นั้นมาจากนามของเทพี Iris ในเทพนิยายกรีก ซึ่งเป็นผู้นำสารของเทพเจ้าจากเทือกเขาโอลิมปัสลงมายังโลกมนุษย์ โดยเดินทางลงมาตามสายรุ้ง ชื่อไอริสถูกนำมาตั้งชื่อดอกไม้ชนิดนี้ตั้งแต่ยุคกลาง ราวคริสตศตวรรษที่ 13 สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะสีสันสดใสของดอกไอริสที่ทำให้นึกถึงสีรุ้งดอกไอริสมีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์และราชวงศ์ของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก คนทั่วไปอาจจะนึกว่าสัญลักษณ์ของกษัตริย์และราชวงศ์ฝรั่งเศสนั้นคือดอกลิลลี่ เพราะตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์มีชื่อเรียกว่า la fleur de lys ซึ่งแปลว่าดอกลิลลี่แต่แท้ที่จริงแล้วที่มาของ la fleur de lys นั้นไม่ใช่ดอกลิลลี่ แต่เป็นดอกไอริสน้ำสีเหลืองมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า สัญลักษณ์รูปดอกไอริส (ซึ่งต่อมากลายเป็น la fleur de lys) ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์เป็นครั้งแรกในสมัยกษัตริย์โกลวีส์ (Clovis) แห่งราชวงศ์เมโรแว็งเฌียง (Mérovingien) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของชนเผ่าฟร็องก์ (les Francs) บรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศสและเยอรมันเมื่อครั้งที่โกลวีส์และกองทัพฟร็องก์ถูกพวกเผ่าวิซิกอต (les Visigoths) ไล่โจมตีมาจนถึงริมฝั่งแม่น้ำไรน์ โกลวีส์ซึ่งกำลังจะจนมุมอยู่แล้วสังเกตเห็นกอดอกไอริสสีเหลืองบานอยู่กลางแม่น้ำ จึงรู้ว่าบริเวณนั้นน้ำไม่ลึกและสั่งให้กองทัพของพระองค์ข้ามน้ำไปได้เพื่อรำลึกถึงพระคุณของดอกไอริสที่ชี้ทางรอดแก่พระองค์และกองทัพ โกลวีส์จึงนำสัญลักษณ์ดอกไอริสสีเหลืองมาใช้แทนรูปคางคกที่อยู่บนตราสัญลักษณ์เดิมของพระองค์บางตำนานก็เล่าว่าตรา la fleur de lys นั้นมีที่มาจากดอกไม้สีเหลืองทองที่เทวดามอบให้แก่โกลวีส์ในวันที่โกลวีส์เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์คาธอลิค เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความบริสุทธิ์หรือการล้างบาป กลีบทั้งสามของดอกไม้ในตราสัญลักษณ์หมายถึง พระบิดา พระบุตร และพระจิตอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 (Louis VII) ราวปี ค.ศ. 1147 เมื่อครั้งจะกรีฑาทัพไปรบในสงครามครูเสดเป็นครั้งที่สองนั้น ได้มีการใช้ตราสัญลักษณ์รูปดอกไอริสนี้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ จึงเรียกตรานี้ว่า “fleur de Louis” หมายถึง “ดอกไม้ของพระเจ้าหลุยส์” ซึ่งต่อมาเพี้ยนเสียงไปเป็น “fleur de Luis” และ “fleur de Luce” (ซึ่งแปลว่า “ดอกไม้แห่งแสงสว่าง”) และกลายเป็น “fleur de lys” ในที่สุด และต่อมาสัญลักษณ์นี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ฝรั่งเศสมาโดยตลอด 

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

การทำเครปฝรั่งเศส



เครปอาหารว่าง แบบหนักท้อง อิ่มอร่อยสไตล์ฝรั่งเศส

 เครปอาหารว่าง แบบหนักท้อง อิ่มอร่อยสไตล์ฝรั่งเศส

 ซึ่งเครปสูตรที่เรานำมาจากนิตยสารแม่บ้าน ที่ใช้เสิร์ฟเป็นอาหารคาวสูตรนี้ ใช้วิธีการทำเดียวกับเครปของหวาน แต่จะหนากว่าและใช้เวลาในการจี่ที่นานกว่า เพื่อให้แป้งเป็นสีน้ำตาลเข้มสอดไส้ไข่ หรือซอส และชีส เห็นจากภาพแล้วก็น่ากินไม่เบาเลยล่ะ ไปดูวิธีทำกันเลย

ส่วนผสม เครปอาหารว่าง


      ◇​ ​ไข่ไก่ 2 ฟอง
      ◇​ ​นมสด 2 ถ้วยตวง
      ◇​ ​แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วยตวง
      ◇​ ​เนยสดชนิดเค็มละลาย 2 ถ้วยตวง
      ◇​ ​เกลือป่นละเอียด 1 หยิบมือ
      ◇​ ​แฮมรมควันอบน้ำผึ้ง 150 กรัม
      ◇​ ​สวิสชีส (Swiss Cheese) ขูดละเอียด 100 กรัม
      ◇​ ​ไข่แดง 8 ฟอง
      ◇​ ​เนยสดชนิดเค็มสำหรับทากระทะ

วิธีทำเครป

 เครปอาหารว่าง แบบหนักท้อง อิ่มอร่อยสไตล์ฝรั่งเศส  







Step 1 : นำแป้งสาลี เกลือป่น ใส่ในชามผสมให้เข้ากัน ตอกไข่ไก่ใส่ลงไป ใช้ส้อมคนให้เข้ากัน เติมเนยสด และค่อย ๆ ใส่นมสดลงไปคนจนละลายและเนื้อเนียนข้นดี นำไปกรองแล้วพักไว้

           Step 2 : ตั้งกระทะเคลือบใบใหญ่ให้ร้อน ทาเนยสดให้ทั่ว ใช้กระดาษทิชชูอเนกประสงค์เช็ดให้แห้ง ใช้กระบวยตักแป้งเครปเทตรงกลางกระทะแล้วกลอกกระทะเอียงเป็นวงกลมให้แป้งเสมอกันเต็มกระทะ ตั้งไฟร้อนปานกลาง จนขอบแป้งเริ่มร่อน

           Step 3 : วางไข่แดงลงกลางแผ่นเครป แล้วใช้พายเกลี่ยไข่แดงให้ แตกและทาให้ทั่วแผ่น

           Step 4 : โรย Swiss Cheese ให้ทั่วแผ่นเครป แล้วฉีกแฮมเป็นเส้นวางโดยรอบ

           Step 5 : ใส่ไข่แดงลงตรงกลางเครป ใช้พายพับขอบเข้าหาตรงกลางทั้ง 4 ด้านเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส เว้นที่ตรงกลางที่มีไข่แดงอยู่ ยกออกจากกระทะแล้วเสิร์ฟทันที

           ลองได้สูตรเครปอาหารว่างน่ากิน ๆ แบบนี้แล้ว เวลามีแขกมาเยี่ยมบ้านก็ลองทำเมนูนี้เสิร์ฟดู ก็น่าจะดีนะคะ ดูหรูหราไฮโซทีเดียว อิ่มอร่อยอีกด้วย





วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

ข่าวฝรั่งเศส

ชาวปารีสผวา! สัญญาณเตือนภัยใกล้หอไอเฟลทำงาน



ชาวปารีสแตกตื่นหลังสัญาณเตือนภัยใกล้หอไอเฟลส่งสัญญาณเตือน – ตำรวจรวบผู้บุกรุก 1 ราย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ประชาชนในเมืองปารีสแตกตื่นอีกครั้ง หลังเสียงสัญญาณเตือนภัยใกล้หอไอเฟลดังขึ้น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ ก่อนจะรายงานว่า ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 ราย และเหตุการณ์สงบลงแล้ว พร้อมบอกว่าชายผู้บุกรุกรายดังกล่าวไม่มีอาวุธ
โดยจะสอบสวนเกี่ยวกับแรงจูงใจของผู้บุกรุกและจะแจ้งรายละเอียดในวันนี้ (2 กันยายน 2560) อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสเคยเกิดเหตุรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลามอิรักและซีเรียยังออกตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุด้วย
ที่มา… INN